สำนักงานศาลยุติธรรมเอาแน่ ทุบทิ้งสร้างใหม่ศาลฎีกาบนที่ดินเดิม ย่านท้องสนามหลวง มูลค่า 3,000 ล้านบาท เผยรออีไอเออนุมัติ ด้าน นักวิชาการ- กรมศิลปากร-สมาคมสถาปนิก ค้านต้องการให้เป็นมรดกทางโบราณสถานควรอนุรักษ์ไว้ ให้เด็กและประชาชนทั่วไปศึกษา จากกรณีที่ นักอนุรักษ์ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างคัดค้านการทุบทิ้ง เพื่อก่อสร้างอาคารศาลฎีกาใหม่ บริเวณถนนราชดำเนิน และตั้งอยู่ในเขตอนุรักษ์เกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานคร(กทม.) มานานหลายสิบปี เนื่องจากต่างมองว่าเป็นอาคารเก่าแก่ควรค่าแก่การอนุรักษ์เป็นโบราณสถานที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ขณะที่ สำนักงานศาลยุติธรรม ยืนกรานว่าจะเดินหน้าก่อสร้างใหม่นั้น แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงความคืบหน้าโครงการ รื้อทิ้งและก่อสร้างอาคารศาลฎีกาหลังใหม่บนที่ดินเดิมบริเวณท้องสนามหลวง ถนนราชดำเนินว่า ศาลยังคงวางแผนดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความจำเป็นต้องก่อสร้างอาคารขึ้นมาใหม่ ให้มีความทันสมัยและให้มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับปริมาณงานและประชาชนที่เข้ามาติดต่อ เนื่องจากอาคารปัจจุบันเล็กคับแคบมีสภาพทรุดโทรมเก่าแก่เพราะถูกใช้งานมานาน "ที่ผ่านมา ได้มีการออกแบบแล้วเสร็จโดยเน้นสถาปัตยกรรมแบบไทยร่วมสมัย และไม่ใช่อาคารทรงสูง เพื่อไม่ให้บดบังพระบรมมหาราชวังตลอดจนวัดวาอาราม แต่ที่ตลอดระยะเวลา 1-2 ปี ที่ผ่านมา มีปัญหาเกิดการต่อต้านจากกลุ่มนักอนุรักษ์ และกรมศิลปากรที่ส่งหนังสือ โต้ตอบกันไปมา โดยเฉพาะกรมศิลปากรที่อ้างว่า อาคารดังกล่าวถือเป็นโบราณสถานอันทรงคุณค่า เพราะมีอายุกว่า 70 ปี ซึ่งเป็นการมองคนละมุมกัน" แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ปีที่ผ่านมา(2553) ศาลได้ยื่น รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ โครงการก่อสร้างอาคารศาลฎีกาหลังใหม่บนที่ดินเดิม มูลค่า 2,000- 3,000 ล้านบาท ต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พิจารณา หาก อีไอเอผ่านความเห็นชอบก็สามารถดำเนินการต่อไปได้ ขณะที่แหล่งข่าวจากมหาวิทยาลัยศิลปากรหนึ่งในกลุ่มอนุรักษ์ต่อต้านการรื้ออาคารศาลฎีกา กล่าวว่า ขณะนี้ทราบว่า การทุบศาลฎีกา และสร้างใหม่ ยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมา ศาลได้ยื่นขออนุมัติอีไอเอ หากผ่านก็สามารถดำเนินโครงการต่อได้ทันที ขณะเดียวกัน แม้ศาลฎีกาจะอยู่ในรัศมีเกาะรัตนโกสินทร์ มีข้อบัญญัติห้ามก่อสร้างดัดแปลงอาคารโดยเฉพาะอาคารเก่า ของกรุงเทพมหานคร(กทม.) แต่เนื่องจาก ศาลฎีกาเป็นของหน่วยงานราชการ สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าว เพราะที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติให้ทุบและก่อสร้างอาคารหลังใหม่บนที่ดินเดิมได้ กว่า 10 ปีก่อน ซึ่งมติครม. ถือว่าใหญ่กว่าข้อบังคับเกาะรัตนโกสินทร์ จึงสามารถดำเนินการได้ "แต่ที่นักอนุรักษ์ นักวิชาการ มหาวิทยาลัย ตลอดจนประชาชนทั่วไป ออกมาต่อต้านเพราะเสียดายอาคารเก่าแก่ ที่น่าจะเก็บรักษาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและควรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน หากต้องการสร้างอาคารหลังใหม่ ควรจะหาที่ดินใหม่ย่านชานเมือง หรือ ไปอยู่ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะน่าจะเหมาะสมกว่า ขณะเดียวกันเกรงว่าการทุบทิ้ง ที่ต้องทุบทั้งอาคาร จะกระทบต่ออาคารโดยรอบโดยเฉพาะฐานรากของพระบรมมหาราชวัง และวัดดังหลายแห่ง" นายทวีจิต จันทรสาขา นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ขั้นตอนการยื่นขออีไอเอ เพื่อก่อสร้างอาคารดังกล่าว ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ที่ต้องทำตามขั้นตอน แต่มองว่า ไม่สามารถเดินหน้าก่อสร้างได้ เพราะต้องฟังเสียงสังคมรอบข้างด้วยว่า เห็นด้วยหรือไม่ ส่วนแบบก่อสร้าง จะเป็นรูปทรงไทยสูง 5 ชั้น ซึ่งถือว่าสูงกว่าพระบรมมหาราชวัง ขณะเดียวกัน ได้มีการคัดเลือกผู้รับเหมานานแล้ว แต่ไม่สามารถเซ็นสัญญาได้เพราะกระแสต่อต้าน และสมาคมก็ต่อต้านเรื่องนี้มาโดยตลอด ด้านแหล่งข่าวจากกรมศิลปากร กล่าวว่า ที่ผ่านมา กรมได้ทำหนังสือถึงศาลฎีกาเพื่อขอให้ระงับการรื้อทิ้งเพื่อก่อสร้างอาคารใหม่บริเวณถนนราชดำเนินหรือบริเวณท้องสนามหลวง อย่างต่อเนื่องหลายฉบับ แต่ก็ไม่มีหนังสือตอบรับกลับมา สาเหตุที่ต้องท้วงติงไป เนื่องจากอาคารดังกล่าว เป็นอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ควรที่จะอนุรักษ์ไว้เป็นโบราณสถาน ขณะเดียวกัน กรมต้องการขอพิจารณาแบบรายละเอียดอาคาร ซึ่งที่ผ่านมา ศาลฎีกายังไม่ส่งให้แต่อย่างใด อย่างไรก็ดี หากต้องการก่อสร้างศาลควรเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าเห็นด้วยหรือไม่ เพราะนอกจากจะกระทบทางจิตใจแล้ว การก่อสร้างดังกล่าว ยังมีผลต่อสิ่งแวดล้อมข้างเคียง เนื่องจาก เป็นอาคารขนาดใหญ่ และสูง ไม่ต่ำกว่า 4-5 ชั้น อีกทั้งยังตั้งอยู่ในเขตอนุรักษ์เกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งใกล้เขตพระบรมมหาราชวัง และ โบราณสถานอื่นๆ แหล่งข่าว กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาปัจจุบันอาคารศาลฎีกายังไม่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) โบราณสถานพ.ศ. 2535 ส่งผลให้ กรมไม่สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้ ขณะเดียวกันกรมยึดหลักปฏิบัติ ว่าอาคารที่เก่าแก่ และ มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่น่าเก็บไว้ให้ประชาชนตลอดจนชนรุ่นหลังได้ศึกษาน่าจะอยู่ในข่ายโบราณสถาน ซึ่งได้มอบให้เจ้าหน้าที่ประเมินคุณค่าของอาคารดังกล่าวแล้ว ขณะเดียวกัน กรมได้แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. โบราณสถาน พ.ศ. 2535 โดยกำหนดคำนิยาม และ สาระสำคัญของกฎหมายใหม่ ให้คุ้มครองอาคารที่ทรงคุณค่าสำคัญๆ โดยห้ามไม่ให้ถูกทำลายหรือ รื้อถอน เพื่อก่อสร้างใหม่ตามอัตโนมัติ โดยเกณฑ์การพิจารณา จะไม่จำเป็นต้องเป็นอาคารที่ขึ้นทะเบียนโบราณสถานกับกรมศิลปากร แต่หากอาคารดังกล่าว ประเมินแล้วมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และเป็นสถานที่ให้ความรู้ แม้จะมีอายุการใช้สอยอาคารไม่กี่ปี ก็อยู่ในข่ายเป็นอาคาร ที่เป็น"มรดกแห่งความทรงจำ" ซึ่งหากอาคารเหล่านี้ประเมินคุณค่าออกมา ต่อไปจะไม่สามารถทุบหรือทำลายได้ ทั้งนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาอยู่ในชั้นกฤษฎีกา ซึ่งคาดว่าจะเร่งผลักดันออกมาบังคับใช้โดยเร็วเพื่อคุ้มครองอีกหลายอาคารที่ทรงคุณค่าและกำลังจะถูกทำลาย จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,632 5-7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น