ร่วมลงนาม ยกเลิกกฎหมาย 3 ฉบับ มั่นคงภายใน - กฎอัยการศึก - พ.ร.ก.ฉุกเฉิน"

ร่วมลงนาม ยกเลิกกฎหมาย 3 ฉบับ มั่นคงภายใน - กฎอัยการศึก - พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ร่วมลงนาม ยกเลิกกฎหมาย 3 ฉบับ มั่นคงภายใน - กฎอัยการศึก - พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ร่วมลงนาม ยกเลิกกฎหมาย 3 ฉบับ มั่นคงภายใน - กฎอัยการศึก - พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สมาชิก สป.ร้องสอบประธานฯ จัดซื้อจัดจ้างไม่โปร่งใส




สมาชิก สป.ร้องสอบประธานฯ จัดซื้อจัดจ้างไม่โปร่งใส
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์29 มิถุนายน 2554 16:26 น.

นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา รับมอบเอกสาร จาก นายชาญยุทธ์ เจนธัญญารักษ์ กล่าวโทษพบปัญหาความไม่โปร่งใสและไม่ชอบด้วยกฎหมายของ นายโอกาส เตพละกุล ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนางสาวเยาวลักษณ์ สุขวิวัฒนพร ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาที่ปรึกษาฯ ( 28 มิ.ย. 54 )

สมาชิก สป.ร้องทุกข์กล่าวโทษประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต่อคณะกรรมาธิการ 2 คณะของวุฒิสภา สภาหอการค้าไทย ป.ป.ช. และ สตง.พบจัดซื้อจัดจ้างโครงการสำรวจความคิดเห็นด้านเศรษฐกิจและสังคม ไม่โปร่งใสและไม่ชอบด้วยกฎหมาย 
      
       วันที่ 28 มิถุนายน 2554 นายชาญยุทธ์ เจนธัญญารักษ์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ พร้อมคณะสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ อีก 3 คนเปิดเผยว่า คณะทั้ง 4 คนได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษนายโอกาส เตพละกุล ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ น.ส.เยาวลักษณ์ สุขวิวัฒนพร ถึงการกระทำไม่โปร่งใส ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยได้ยื่นต่อ 5 หน่วยงาน คือ คณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา สภาหอการค้าไทย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
      
       โดยที่ในปัจจุบันทุกภาคส่วนของประเทศไทยให้ความสำคัญกับการรณรงค์ต่อต้านและแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคมไทยและเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเยาวชนในอนาคต ในส่วนของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งเป็นองค์กรสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจและสังคม โดยมิใช่เป็นองค์กรเพื่อต่อรองผลประโยชน์ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลใดกลับพบปัญหาความไม่ชอบมาพากลไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง โครงการศึกษาและสำรวจความคิดเห็นในประเด็นเชิงนโยบาย หรือเชิงสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและสังคม มูลค่า 3,000,000 บาท ซึ่งสร้างความเสียหายต่อทางราชการ ดังนั้น ในฐานะสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสีย จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา เพื่อดำเนินการตรวจสอบ ตลอดจนดำเนินคดีกับบุคคลที่สร้างความเสียหายต่อทางราชการต่อไป
      
       ทั้งนี้ วันที่ 29 กันยายน 2553 สำนักงานสภาที่ปรึกษาฯ โดย น.ส.เยาวลักษณ์ สุขวิวัฒนพร ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาที่ปรึกษาฯ ได้ทำสัญญาจ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือเป็นที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการศึกษาโครงการฯ ดังกล่าว โดยใช้วิธีตกลงแทนวิธีคัดเลือกหรือประกวดราคา ทั้งที่การจัดจ้างที่ปรึกษากรณีดังกล่าวเกินวงเงิน 100,000 บาท แต่ได้ทำการจัดจ้างโดยใช้วิธีตกลง โดยไม่ใช้วิธีคัดเลือก ทั้งๆ ที่ไม่ปรากฏว่าการจัดจ้างในครั้งนี้เป็นการจัดจ้างที่ต้องกระทำเป็นการเร่งด่วน หากล่าช้าจะเสียหายแก่ราชการ ประกอบกับเมื่อตรวจสอบผู้รับจ้างแล้วก็ไม่พบว่ามีความสามารถหรือเชี่ยวชาญในการทำงานนี้ มีจำนวนจำกัดแต่เพียงผู้เดียวหรือมีความชำนาญมากกว่าหน่วยงานหรือสถาบันอื่นๆ เป็นพิเศษ เท่าที่ตรวจสอบได้ พบแต่สาขาที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นที่ปรึกษาในกระทรวงการคลัง ด้านอุตสาหกรรมและ Water Supply and Sanitation Sector เท่านั้น ดังนั้นการจัดจ้างโดยวิธีตกลงในครั้งนี้ จึงเป็นการจัดจ้างอย่างไม่โปร่งใสและไม่เป็นธรรม ทำให้ไม่มีผู้แข่งขันรายอื่นเพื่อให้ทางราชการพิจารณาคัดเลือกที่ปรึกษาที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุดและเป็นประโยชน์ต่อทางราชการสูงสุด การจัดจ้างโดยใช้วิธีตกลงจึงไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
      
       นอกจากนี้ ในฐานะสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ เท่าที่ตรวจสอบได้ยังตรวจสอบพบด้วยว่า นายโอกาส เตพละกุล ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้รับจ้าง โดยเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยดังกล่าว และขณะเดียวกัน นายโอกาส เตพละกุล ก็ยังเป็น กรรมการบริษัท โตโยตรอน มอเตอร์ จำกัด ซึ่งได้ร่วมมือกับผู้รับจ้างพัฒนารถมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้า "โตโยตรอน" จำหน่ายในท้องตลาด ดังที่แถลงข่าวในเดือนกรกฎาคม 2551 และอีกทั้งสมัยเป็นประธานคณะทำงานโครงสร้างพื้นฐาน ในสมัย สป.ชุดที่ 2 นายโอกาส เตพละกุล ก็ได้เคยจัดจ้างมหาวิทยาลัยฯดังกล่าวในการทำงานวิจัยให้คณะฯ มาแล้ว
      
       ดังนั้น ในฐานะประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตาม พ.ร.บ.สภาที่ปรึกษาฯ 2543 มาตรา 10 ได้บัญญัติว่า สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นองค์กรสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจและสังคมโดยมิใช่เป็นองค์กรเพื่อต่อรองผลประโยชน์ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใด ดังนั้นเมื่อมีการจะจัดจ้างที่ปรึกษาฯ ดังกล่าวย่อมจะต้องใช้ความระมัดระวังและ/ หรือกระทำการจัดจ้างให้เกิดความโปร่งใสเป็นพิเศษยิ่งกว่ากรณีจัดจ้างอื่น
      
       นายชาญยุทธ์กล่าวเพิ่มเติมว่าโครงการดังกล่าวเป็นที่ปรากฏจนถึงปัจจุบัน ผ่านมา 9เดือนมาแล้ว สมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ จำนวนมากก็ไม่พอใจกับคุณภาพงานที่ออกมาและคิดว่าไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ดังเช่น เอกสารรายงานแจกให้สมาชิกก็ยังมิได้เป็นปัจจุบัน เช่น ฉบับเดือนมีนาคม 2554 รายงานปัญหาราคาน้ำมันปาล์มพึ่งได้นำมาแจกกันวันที่ 11 พฤษภาคม 2554 ซึ่งล้าสมัยใช้ไม่ได้แล้ว ซึ่งผิดไปจากหลักการและเหตุผลในการจัดซื้อจัดจ้าง ว่า "ในการจัดทำความเห็น และข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหา หรือป้องกันปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมจำเป็นจะต้องมีข้อมูลประกอบที่ทันต่อเหตุการณ์ .............." ดังนั้น คณะสมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ ที่ได้เล็งเห็นถึงความถูกต้องชอบธรรมจึงขอร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการ 2 คณะของวุฒิสภา สภาหอการค้าไทย ป.ป.ช.. และ สตง. ถึงความไม่โปร่งใสดังกล่าวเพื่อจะได้ทำการตรวจสอบและดำเนินคดีตามอำนาจหน้าที่ต่อไป ทั้งนี้เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อสภาที่ปรึกษาฯ ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และเป็นตัวอย่างให้กัแก่หน่วยงานอื่นๆ ต่อไปในอนาคตด้วย
      
       นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา รับมอบเอกสารจากนายชาญยุทธ์ เจนธัญญารักษ์ กล่าวโทษพบปัญหาความไม่โปร่งใส และไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายโอกาส เตพละกุล ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และน.ส.เยาวลักษณ์ สุขวิวัฒนพร ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาที่ปรึกษาฯ (28 มิ.ย. 54)

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000079361

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เปิดตัว My Computer Law ชวนผู้ใช้เน็ตออกแบบพ.ร.บ.คอมเอง

เปิดตัว My Computer Law ชวนผู้ใช้เน็ตออกแบบพ.ร.บ.คอมเอง

(28 มิถุนายน 2554) เครือข่ายพลเมืองเน็ต, โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw), และ องค์การแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย แถลงข่าวเปิดตัวโครงการจัดทำ "พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับประชาชน" ในชื่อ "My Computer Law" (มายคอมพิวเตอร์ลอว์ - กฎหมายคอมพิวเตอร์ของเราเอง)

โครงการ "My Computer Law" ดังกล่าว จะดำเนินกิจกรรมรณรงค์ รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต นำความคิดเห็นมาประมวลหาหลักการร่วม ทำงานร่วมกับนักกฎหมายและนักเทคโนโลยี เพื่อนำไปสู่การเสนอร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับประชาชนเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยวิธีรวบรวมรายชื่อ 10,000 คน ตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ มาตรา 163

โดยเชิญชวนประชาชนทุกคน ให้เข้าร่วมกิจกรรมออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์ MyComputerLaw.in.th, เฟซบุ๊คwww.facebook.com/MyComputerLaw ทวิตเตอร์ twitter.com/MyComputerLaw และติดตามปฏิทินกิจกรรมออฟไลน์ได้ทางเว็บไซต์ด้วย โดยทางโครงการมีแผนการจะจัดกิจกรรมรณรงค์การมีส่วนร่วมครั้งนี้ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทยด้วย โดยกำหนดการการเดินทางจะประกาศให้ทราบทางหน้าเว็บไซต์ต่อไป 

โครงการ "My Computer Law" ดังกล่าว จะทำกิจกรรมรณรงค์ แบ่งเป็น 3 ช่วง ในระยะเวลาเบื้องต้น เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2554

ช่วงที่ 1 – แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และผู้จะได้รับผลกระทบจากกฎหมายคอมพิวเตอร์ โดยทำกิจกรรมทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ในจังหวัดต่าง ๆ → นำมาสรุป ได้เป็น "คำประกาศผู้ใช้เน็ต"
ช่วงที่ 2 – เขียนตัวกฎหมาย โดยยึดคำประกาศฯ เป็นหลักการ → ได้ "ร่างพ.ร.บ.คอมฯ ฉบับประชาชน"
ช่วงที่ 3 – รวบรวมรายชื่อของผู้สนับสนุน 10,000 ชื่อ เพื่อเสนอร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสภาผู้แทนราษฎร

อาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต กล่าวว่า กฎหมายพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์เกี่ยวข้องกับการใช้อินเทอร์เน็ตในชีวิตประจำวันของทุกคนอย่างมาก แม้กระทั่งผู้ที่ไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะการใช้โทรศัพท์มือถือ เช่น การส่งข้อความSMS ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายนี้ด้วย ดั่งที่เคยมีตัวอย่างว่าคนส่ง SMS ก็ถูกจับติดคุกตามพ.ร.บ.คอมนี้ได้

ปริญญา บุญฤทธิ์ฤทัยกุล ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ข้อกังวลคือมีการปิดเว็บไซด์จำนวนมาก จนอาจขาดความโปร่งใส การลงโทษตัวกลาง เช่น เว็บมาสเตอร์ และอัตราโทษซึ่งอาจจะมากเกินความจำเป็น ซึ่งกระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในแง่ของสิทธิการแสดงออก การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และสิทธิความเป็นส่วนตัว แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจพ.ร.บ.นี้ บางครั้งจึงตกเป็นผู้ต้องหาโดยไม่รู้ตัว วัตถุประสงค์ของเราจึงต้องการทำกิจกรรมให้ความรู้ตามจังหวัดต่างๆ ด้วย และรับฟังเสียงของประชาชนว่าคิดอย่างไร ต้องการแก้ไขอย่างไร

ในวันดังกล่าวยังมีกิจกรรมรณรงค์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต โดยการแต่งกายที่มีข้อความว่า "คนใช้เน็ตคิดเองได้" เพื่อแสดงจุดยืนต้องการให้ประชาชนที่ได้รับผลโดยตรงจากกฎหมาย ได้ออกแบบกฎหมายของตัวเอง และรณรงค์ภายใต้หัวข้อ "เจ้าของคอมทุกเครื่อง เป็นเจ้าของเรื่อง พ.ร.บ.คอม" เพื่อเชิญชวนให้ทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของกฎหมายฉบับนี้

 

สำหรับผู้สนใจจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ ภายในกลุ่ม สมาคม หรือท้องถิ่นของตัวเอง สามารถติดต่อโครงการเพื่อประสานงานได้ที่อีเมล info@mycomputerlaw.in.th

 

 

ที่มา: http://ilaw.or.th/node/1055

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

21 กรกฎาคม 2554 8:30 - 11:30 /July 21, 2011 8.30 am. – 12.00 pm. At Mercure Hotel

 
21 กรกฎาคม · 8:30 - 11:30

สถานที่
Mercure BKK

สร้างโดย

รายละเอียด
Sawasdee ka 

Welcome to free seminar again Bhatara Progress Co Ltd will hold free seminar on July 21, 2011 8.30 am. – 12.00 pm. At Mercure Hotel 

Please Register :
https://spreadsheets.google.com/spreadsheet/viewform?formkey=dHhZMU9EOGZzR1JkTDVLR24xbnFwRWc6MQ

Best Regsrds
www.ohmclick.com
www.bhatarapro.com

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

1 ปี ความยุติธรรมที่หายไป ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณีเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2553 (ศปช) ณ ห้องประชุมอาคารเอนกประสงค์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2554:






ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม
กรณีเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2553 (ศปช)
ณ ห้องประชุมอาคารเอนกประสงค์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2554:

1 ปี ความยุติธรรมที่หายไป(6):








วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ขยายรถไฟฟ้าสีเขียวถึง"คูคต"�ใช้งบฯเพิ่มขั้นต่ำ1.34 หมื่นล้าน เลี่ยงใช้ดอนเมืองทหารห่วงมั่นคง

 แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้หารือร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เพื่อพิจารณาปรับแบบก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ เบื้องต้นได้ปรับแบบก่อสร้างในบริเวณอนุสาวรีย์หลักสี่ เพื่อให้สอดคล้องกับโครงการก่อสร้างอื่น เช่น การก่อสร้างทางข้ามอนุสาวรีย์ฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู รวมถึงปรับแบบเสาตอม่อให้เหมาะสมกับพื้นที่และให้มีผลกระทบกับการจราจรและประชาชนในพื้นที่น้อยที่สุด ขณะเดียวกันได้ปรับแบบก่อสร้างและขอขยายโครงการก่อสร้างออกไปจนถึงคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เพิ่มระยะทางอีก 6.7 กิโลเมตร (กม.) ก่อสร้างเพิ่มอีก 2 สถานี โดยหลังจากนี้จะเสนอกระทรวงฯพิจารณาเห็นชอบต่อไป 

 

แหล่งข่าวกล่าวว่า ที่ขอขยายทางถึงคูคตเพราะไม่สามารถใช้พื้นที่บริเวณดอนเมืองก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและพื้นที่จอดรถไฟฟ้า เพราะทางทหารเกรงว่าจะกระทบกับความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากอยู่ใกล้กองทัพอากาศ �การปรับแผนการก่อสร้างใหม่ ทำให้เส้นทางรถไฟฟ้าสายนี้ยาวขึ้น วงเงินการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อย กม.ละ 2,000 ล้านบาท (หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1.34 หมื่นล้านบาท) และระยะเวลาการก่อสร้างล่าช้าออกไปอีก จึงต้องหารือกับกระทรวงคมนาคมว่าจะมีนโยบายอย่างไร จะให้เดินหน้าพร้อมกับโครงการเดิม หรือต้องเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาใหม่�


 

แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี มูลค่า 3.4 หมื่นล้านบาท ระยะทาง 34.5 กม. อยู่ระหว่างต่อรองราคาว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา คือ บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ 

แมเนจเมนท์ จำกัด จาก 80 ล้านบาท ให้เหลือ 34.15 ล้านบาท คาดว่าภายในเดือนกรกฎาคมนี้จะสามารถลงนามว่าจ้าง และในต้นปี 2555 จะเริ่มประกาศขายเอกสารประกวดราคาได้ �รถไฟฟ้าสายนี้กระทรวงคมนาคมได้บรรจุอยู่ในแผนเร่งด่วนระยะแรกให้แล้วเสร็จในปี 2558-2559 เพื่อเป็นโครงข่ายรองรับกับการเปิดใช้ศูนย์ราชการกรุงเทพแจ้งวัฒนะ โดยปรับรูปแบบใหม่จากรถไฟฟ้าขนาดหนักเป็นรถไฟฟ้าขนาดเบาแบบยกระดับ (โมโนเรล) และเตรียมลงพื้นที่เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและเร่งรัดออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินต่อไป�


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308985954&grpid=03&catid=05&subcatid=0504

แจ้งสือมวลชน วันที่ 26 มิย 2554 / พรรคปชป ถนนเศรษฐศิริ 13.00 / พรรคเพื่อไทย เพชรบุรีตัดใหม่ 15.00 น



จาก: lee lee <thai9lee@gmail.com>
วันที่: 25 มิถุนายน 2554, 9:30
หัวเรื่อง: แจ้งสือมวลชน
ถึง: 


ทางสภาเครือข่ายการเมืองภาคพลเมืองจะไปยื่นนโยบาย ด้านการศึกษา ให้พรรคการเมืองใหญ่สองพรรค

คือ 1 พรรคปชป  ถนนเศรษฐศิริ  13.00  

2 พรรคเพื่อไทย  เพชรบุรีตัดใหม่ 15.00

3 สยามพารากอน

16.00-18.00          

ในวันที่ 26 มิย 2554  เวลาตามแนบและรณรงค์ที่สยาม  ตามเอกสารแนบ 
ขอบคุณคะ
กมลพรรร                     

ประชาสัมพันธ์โครงการอบรม "ศิลปะแห่งการดำเนินชีิวิต : มรณานุสติแบบทิเบต" วันเสาร์ที่ 30 กค. 2554


จาก: Jivita Sikkha <jivitasikkha@gmail.com>
วันที่: 24 มิถุนายน 2554, 11:57
หัวเรื่อง: ประชาสัมพันธ์โครงการอบรม "ศิลปะแห่งการดำเนินชีิวิต : มรณานุสติแบบทิเบต" วันเสาร์ที่ 30 กค. 2554
ถึง:


เรียน ท่านผู้สนใจ

ขอประชาสัมพันธ์มายังท่านผู้สนใจในการอบรมหัวข้อ

"ศิลปะแห่งการดำเนินชีวิต : มรณานุสติแบบทิเบต"

ขออภัยหาก mail นี้รบกวนท่าน
กรุณาแจ้งยกเลิกรายชื่อจาก Mailing list ได้ที่ jivitasikkha@gmail.com

หากเห็นว่าหัวข้อการอบรมเป็นประโยชน์ต่อท่านอื่นๆ
กรุณาส่งประชาสัมพันธ์ตามความเหมาะสม

กราบขอบพระคุณค่ะ




ชีวิตสิกขา เครือข่ายเพื่อการเรียนรู้และเข้าใจชีวิต ร่วมกับ มูลนิธิพันดารา
จัดอบรม "ศิลปะแห่งการดำเนินชีวิต : มรณานุสติแบบทิเบต"

ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ถนนวิภาวดีรังสิต
วันเสาร์ที่  ๓๐ กรกฎาคม  ๒๕๕๔    เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๗.๐๐ น.
***********************************

"ความชรามีอยู่ในความหนุ่ม   ความเจ็บไข้มีอยู่ในความไม่มีโรค
ความตายมีอยู่ในชีวิต"


พระพุทธวจนะ

อนิจจังหรือความไม่เที่ยง เป็นแก่นของหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
การเรียนรู้และเข้าใจชีวิตว่าเป็นสิ่งเปราะบางนั้นเป็นประโยชน์อย่างมาก
เนื่องจากการรับรู้ว่าชีวิตนี้สั้นนัก
และความตายนั้นต้องมาเยือนอย่างแน่นอน
เมื่อยอมรับอย่างถึงก้นบึ้งของจิตใจ   จะทำให้เกิดแรงจูงใจ
มีปัญญาและศรัทธาที่จะเห็นถึงความสำคัญของการปฏิบัติธรรมว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำในทันทีโดยมิชักช้า
 มีความเพียรและความอดทนในการที่จะฝึกฝนสติ เพื่อการละวาง ถอดถอน
จากความยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่งทั้งปวงเสียตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่

               "ความตายเป็นข้อจำกัดของชีวิต  แต่ความหวัง
ความรักและความกรุณา ไม่มีข้อจำกัด"

คำสอนเรื่องการเตรียมตัวตายหรือการเจริญมรณานุสติ
เป็นมงคลชีวิตอันสูงส่งที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญให้พิจารณาอยู่ทุกขณะ
ในคำสอนของพุทธศาสนาวัชรยาน มีคำสอนอันโดดเด่นจาก
'คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งทิเบต'         (The Tibetan Book of the Dead)
ท่านเชอเกียม ทรุงปะ ริมโปเช ได้อธิบายว่า
การตายมีความสัมพันธ์กับการดำรงชีวิตอยู่  ด้วยเหตุนี้
จึงสามารถเรียกใหม่ได้เช่นกันว่า 'คัมภีร์ชาตศาสตร์แห่งทิเบต' (The
Tibetan Book of Birth)
คัมภีร์ที่ถูกถ่ายทอดสืบต่อกันมาอย่างลึกซึ้งเพื่อผู้ปฏิบัติธรรม
อันจะให้แง่คิด ไม่เพียงการเตรียมตัวเพื่อเผชิญหน้ากับความตายอย่างสงบ
และสันติสุข  รวมถึงความเข้าใจในเรื่องของจักรวาล
อันเป็นการมองสิ่งแวดล้อมทั้งหลายว่า เอื้อต่อการปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น
ทั้งยังเป็นเครื่องเตือนใจชวนให้คิดถึงที่เหลืออยู่  ให้ใช้ชีวิตอย่างมี
เมตตา กรุณา มากขึ้น โดยไม่มีที่สิ้นสุดแก่ทุกๆ สรรพชีวิตในทุกภพภูมิ

ภาวะเจ็บป่วยทางร่างกายที่เกิดขึ้นไม่เพียงต้องการ
การดูแลเยียวยาทางกายภาพที่ดีและเหมาะสมกับโรคเท่านั้น
หากยังต้องการองค์ประกอบร่วมทั้งทางด้านจิตใจ สังคมและปัญญา
เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยอยู่ได้อย่างมีสุขภาวะที่ดีและสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
เพราะถึงแม้ทางกายภาพอาจจะไม่สมบูรณ์ แต่ศักยภาพทางด้านจิตใจและปัญญา
ยังสามารถพัฒนาได้ไปจนถึงขั้นสูงสุด ทั้งในขณะเจ็บป่วย ขณะกำลังจะตาย
รวมถึงช่วงขณะหลังจากการตาย
ดังนั้นทั้งตัวผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยเองต่างก็ต้องการความรู้
ความเข้าใจ และทัศนคติในการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
เพื่อให้สามารถวางใจได้ว่าแม้กายจะป่วยแต่ใจไม่ป่วยเลย
ถอดถอนจากผู้เป็นทุกข์ สู่ผู้เห็นทุกข์
จวบจนกระทั่งสามารถสร้างเหตุปัจจัยในการที่จะเผชิญกับช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านสำคัญที่สุดของชีวิตอย่างเกื้อกูล
และเต็มศักยภาพของการเกิดเป็นมนุษย์ ที่ได้พบพระพุทธศาสนา

ขอเชิญท่านที่มีจิตปรารถนาการเรียนรู้  ดุจดังภาชนะที่สะอาดและว่างเปล่า
ร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันกับมูลนิธิพันดารา และ เครือข่ายชีวิตสิกขา
เพื่อฝึกฝนการละกิเลส
ทำภาวนาร่วมไปกับกระบวนการเรียนรู้และเข้าใจความจริงของชีวิต
และรับธรรมะในการวางใจเพื่อรับมือกับความพลัดพรากที่กำลังจะปรากฏกับทุกชีวิต

ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมอบรมสามารถบริจาคเข้ามูลนิธิพันดาราและเครือข่ายชีวิตสิกขา
ได้ตามกำลังศรัทธา

การเตรียมตัว   แต่งกายสวมใส่เสื้อผ้าสบายและสะดวก ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดขาว
หมายเหตุ  ทางเจ้าภาพจัดเตรียมอาหารกลางวัน (มังสวิรัติ) เครื่องดื่ม
และของว่างตลอดการอบรม
****************************************************************************************
                                ส่งใบลงทะเบียนได้ที่ jivitasikkha@gmail.com
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ครูอ๊อด โทร. 084-643-9245 ,   คุณณัฐ
โทร 086-783- 3324


ศิลปะแห่งการดำเนินชีวิต : มรณานุสติแบบทิเบต
เครือข่ายชีวิตสิกขา ร่วมกับ มูลนิธิพันดารา
ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ถนนวิภาวดีรังสิต
วันเสาร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๔     เวลา ๐๘.๓๐ - ๑๗.๐๐ น.
๐๘.๓๐-๐๙.๐๐     ลงทะเบียน เปิดการอบรมและปฐมนิเทศ
๐๙.๐๐-๑๑.๓๐     ฝึกลมหายใจแบบทิเบต  เพื่อกายและใจพร้อมสำหรับการเรียนรู้
                           เสวนาธรรม เรื่อง 'มรณานุสติแบบทิเบต'
                           โดย รศ.ดร.กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์ และ
อ.เยินเต็น (มูลนิธิพันดารา)
                                 - การภาวนาถึงความเป็นอนิจจัง
                                 - ความตายและการตายในพุทธศาสนาวัชรยาน
                                 - ความเข้าใจเรื่องธาตุ และชีวิต
๑๑.๓๐-๑๒.๓๐   พิจารณาอาหารกลางวัน
๑๒.๓๐-๑๔.๓๐  ปุจฉา - วิสัชนา เรื่อง  'คัมภีร์มรณศาสตร์แห่งทิเบต'
                             โดย รศ.ดร.กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์ และ อ.เยินเต็น
                              ดำเนินรายการโดย  วรรณวิภา มาลัยนวล (ครูอ๊อด) และ
                                                             กกกร
เบญจาธิกุล (คุณโก้) เครือข่ายชีวิตสิกขา
                                -  บาร์โดคืออะไร ,โอกาสแห่งการหลุดพ้นจากบาร์โด
                                -  ตายแล้วไปไหน ?  ตายดีเป็นอย่างไร ?
 หลับแล้วตายไปเลยดีหรือไม่ ?
                                -
กุศลกรรมท่ามกลางความเจ็บป่วยแบบทิเบต  ทำกันอย่างไร ?
                                -  กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ
และการปฏิบัติธรรมในการดำเนินชีวิตของพุทธวัชรยาน
                                -   ฯลฯ
๑๔.๓๐-๑๗.๐๐     กิจกรรม 'คลินิกสุขใจ'  โดย ธนวัชร์ เกตน์วิมุต (ครูดล)
ประธานเครือข่ายชีวิตสิกขา
                             พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์
'อาสาข้างเตียง' กับผู้ป่วยระยะสุดท้าย

                                                              _/l\__/l\__/l\__

หมายเหตุ : โปรแกรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

--
http://jivit.net
ร่วมเป็นแฟนคลับกับชีวิตสิกขาลัย ในเครือข่ายชีวิตสิกขาได้ที่
http://www.facebook.com/pages/Jivita-Sikkhalay-Club/324767881811?v=wall

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เปิดตัว คกก.คุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน ยกระดับการผลิตสื่อเพื่อสังคม

 

เปิดตัว คกก.คุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน ยกระดับการผลิตสื่อเพื่อสังคม

ผู้บริโภคผนึกกำลังนักวิชาการ เปิดตัวคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีความตื่นตัว รู้เท่าทันสื่อ และร่วมรณรงค์ให้มีการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการผลิตสื่อที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม 


16 องค์กรสื่อและประชาสังคม เปิดตัวคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน


เมื่อเร็วๆ นี้ ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค(อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) นางสุวรรณา จิตประภัสสร์ กรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้แถลงข่าวเปิดตัว การจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน เพื่อให้เป็นกระจกสะท้อนถึงสื่อและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความตระหนักใน สิทธิของผู้บริโภคอย่างจริงจัง และเพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีการนำเสนอข่าวสารที่เป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนในฐานะผู้บริโภคสื่อ


นางสุวรรณา จิตประภัสสร์ โดยนางสุวรรณา ได้เปิดเผยว่า คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน ประกอบด้วยตัวแทนจากหลายภาคส่วนของสังคม รวม 16 องค์กร ประกอบด้วย เครือข่ายประชาสังคมด้านเด็กและเยาวชน เครือข่ายด้านสตรี เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค นักวิชาการ และสภาวิชาชีพด้านสื่อ 4 องค์กร


นางสุวรรณา กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องมีการจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชนขึ้น เนื่องจาก ปัจจุบันผู้ บริโภคยังประสบปัญหา การละเมิดสิทธิที่ได้รับข้อมูลข่าวสารจากการโฆษณาสินค้าหรือบริการต่างๆ ที่ไม่เป็นจริง ไม่ครบถ้วนนำไปสู่การซื้อ-ใช้สินค้าหรือบริการที่ไม่ เหมาะสมสิ้นเปลืองเงินทอง เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการนำเสนอข่าวอาชญากรรม ปัญหาการละเมิดสิทธิสตรี สิทธิเด็กและเยาวชน จากการนำเสนอเนื้อหาละครข่าวสารด้วยความรุนแรง หยาบคาย ลามก


นอกจากนี้ ยังมีการโฆษณาแฝงในรูปแบบต่างๆ  โดยเฉพาะบทความเชิงโฆษณาที่ครอบงำความคิดประชาชน ขณะ เดียวกัน กลุ่มผู้บริโภคสื่อเอง ยังขาดความรู้ ความเข้าใจ ในการทำงานของสื่อที่ถูกต้องเหมาะสมตามกรอบของจริยธรรม จรรยาบรรณ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ขาดความตื่นตัวในการปกป้องสิทธิของตนเอง จึงทำให้ถูกละเมิดสิทธิจากสื่อทั้งโดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว


16 องค์กรสื่อและประชาสังคม เปิดตัวคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน


ดังนั้นจึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชนขึ้น ทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิ และที่กรรมการพิจารณาเห็นว่าเป็นผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ตรวจสอบติดตามการทำงานของสื่อ ร้องเตือนประชาชนเมื่อมีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ไม่เหมาะสม พร้อมกับสะท้อนความคิดหรือข้อร้องเรียนของประชาชนกลับไปยังสื่อและสภา วิชาชีพด้านสื่อ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขการผลิตสื่อให้มีทิศทางที่เกิด ประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม


"กลไกการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน จะทำหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีความตื่นตัว รู้เท่าทันสื่อ และร่วมรณรงค์ให้มีการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการผลิตสื่อที่เกิดประโยชน์ต่อ สังคมอย่างแท้จริง ทั้งนี้ กลไกการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชนในระดับพื้นที่นำร่อง ประกอบไปด้วยเครือข่ายผู้บริโภครวม 11 จังหวัดในพื้นที่ 5 ภาค คือ นอกจากกรุงเทพมหานครแล้ว ยังประกอบด้วย ภาคเหนือ ได้แก่ ลำปาง เชียงราย, ภาคใต้  ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ตรัง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด, ภาคกลางและตะวันออก ได้แก่ สระบุรี ตราด และ ภาคตะวันตก ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี การดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อในรูปของพลังประชาชนเช่นนี้ นับเป็นทางออกที่สำคัญซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็น เหยื่อ หรือได้รับผลกระทบจากการนำเสนอเนื้อหาสาระของสื่อในด้านที่มีพิษภัยได้ง่าย เกินไป" นางสุวรรณา กล่าว


นางสุมณฑา ปลื้มสูงเนิน นางสุมณฑา ปลื้มสูงเนิน เครือข่ายเยาวชนเพื่อการพัฒนา กล่าว ว่าเด็กถือเป็นผู้บริโภคสื่อที่ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะทีวี อินเทอร์เน็ต เคยสำรวจการดูโทรทัศน์ของเด็กในช่วงวัดหยุดในช่วงปิดเทอมและวันเสาร์อาทิตย์ พบว่าเด็กดูทีวีถึง 15 – 17 ชั่วโมง


"จะเห็นว่าเด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอโดยไม่ทำอะไรเลย ทั้งทานข้าว ทำการบ้านหน้าทีวี ซึ่งเราก็พบว่าสื่อที่ส่งออกมามีความรุนแรงต่อเรื่องเพศ ซึ่งเด็กได้รับโดยตรง ในเด็กเล็กเราพบกว่าอิทธิพลของโฆษณามีผลต่อการใช้จ่ายของเด็ก เพราะจะซื้อขนมจากการดูโฆษณานั่นเอง และที่ผ่านมาไม่มีช่องทางการสื่อสารให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงผลกระทบที่ เกิดขึ้น เมื่อมีคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชนก็น่าจะเป็นกลไกที่จะเป็นช่องทางให้มีการสื่อสารกันมากขึ้น"


นางสาวณัฐยา บุญภักดี นางสาวณัฐยา บุญภักดี ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สสส. กล่าวถึงการล่วงมะเมิดทางเพศที่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมแต่ต้องรตกเป็น ข่าวนั้นยิ่งเป็นการซ้ำเติม ผู้หญิงจึงเลือกที่จะเก็บเรื่องไว้ ผู้กระทำความผิดจึงไม่ได้รับการลงโทษ สื่อน่าจะทำความเข้าใจในการเสนอข่าวด้วยเพราะจะกลายเป็นว่านอกจะถูกละเมิดไป ครั้งหนึ่งแล้วกลับต้องถูกละเมิดซ้ำเมื่อมีการเสนอข่าว


"มันเป็นกระทบเหมือนน้ำซึ่งกระทบทั้งตัวเอง ญาติ ที่ทำงานอยากให้สื่อมวลชนได้รับรู้ผลกระทบตรงนี้ด้วย การมีคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน ก็น่าจะเป็นอีกเสียงที่ช่วยต่อสู้เรื่องนี้ ที่จะพูดคุยกับสื่อและสะท้อนต่อสาธารณะว่าเมื่อมีการนำเสนอข่าวโดยไม่ได้ สนใจผลกระทบต่อบุคคลอย่างไร การที่เด็กหรือผู้หญิงถูกละเมิดแล้วออกมาเรียกร้องความยุติธรรมสื่ออาจะทำ เพื่อเตือนสังคมว่าในสถานที่นั้นมีเหตุอาชญากรรมให้ระวัง ไม่ควรจะสนใจรายละเอียดของเหตุการณ์แล้วนำไปขยายความต่อ จะเป็นการขยายบาดแผลของผู้เสียหายมากกว่า" นางสาวณัฐยากล่าว


นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ รองประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ กล่าวว่า กลไกการรับเรื่องร้องเรียนผู้บริโภคด้านสื่อนั้นมีความสำคัญ เพราะที่ผ่านมายังไม่มีกลไกตัวนี้ ถึงแม้จะมีการพยายามทำมาแต่ก็ยังไม่แน่ชัด ซึ่งต้องทำหน้าที่เชื่อมระหว่างผู้บริโภคกับสื่อมวลชน ถึงมีจะมีองค์กรวิชาชีพทำอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ชัด


"มีแนวคิดว่าจะให้รัฐเข้ามาจัดการ เข้ามาลงดาบสื่อ ให้สื่อมีการปรับตัวแต่ถ้าไม่ระวังให้ดีก็อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการ เมืองได้ สิ่งที่น่าจะกำกับสื่อได้มากกว่าก็คือพลังพลเมืองกับพลังผู้บริโภค แม้จะมีการรวมตัวกันไม่มากแต่มีการกระตุ้นสื่ออย่างสม่ำเสมอ ปัจจุบันมีใหม่ๆ อย่างสื่ออินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย ก็น่าจะช่วยสร้างพลังให้เสียงเหล่านี้ และผลักดันให้สื่อมีการปรับตัวได้ และการมีคณะกรรมการจากหลากหลายหน่วยงานก็จะสร้างเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ที่หลากหลายและหาทางออกได้ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องการละเมิดทางเพศ การเมือง ในระยะยาวก็น่าจะเป็นเวทีให้ทุกฝ่ายได้มาหาจุดร่วม เพื่อหากติกาในการอยู่ร่วมกันได้"


นายธาม เชื้อสถาปนศิริ ด้านนายธาม เชื้อสถาปนศิริ ผู้จัดการกลุ่มงานวิชาการ มีเดียมอนิเตอร์ กล่าวถึงผลการศึกษาผลต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อการถูกเสนอข่าว ล่วงละเมิดทางเพศว่า ผู้ถูกเสนอข่าวได้รับผลกระทบมากในการดำรงชีวิตประจำวัน เหมือนเป็นการซ้ำเติมโศกนาฏกรรมชีวิตอย่างมาก ผู้อ่านหรือผู้ดูเองเมื่อถูกนำเสนอข่าวนี้ก็รู้สึกเหมือนถูกละเมิดไปด้วย


"สะท้อน ให้เห็นว่าผู้นำเสนอข่าวไม่ว่าจะสื่อโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ ยังมีทัศนะคติเดิมที่ต้องนำเสนอให้เห็นภาพ ให้เห็นเหยื่อ ให้เห็นฉากโศกนาฏกรรมที่ชัดเจน นี่คือลักษณะการทำงานวิชาชีพ ซึ่งการวิจัยชิ้นนี้สะท้อนว่าเป็นการทำงานที่ไม่เหมาะเพราะไม่ได้คำนึงถึง สิทธิของมนุษย์เลย"นายธามกล่าว


นอกจากนี้ ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงโฆษณาแฝงในทีวีว่ามีมากทั้งปริมาณและรูปแบบ และมีการโฆษณาในรายการเด็กมากขึ้น และในรายการข่าว ในหนังสือพิมพ์เองก็มีการโฆษณามากขึ้นเช่นการเขียนบทความขึ้นมา หรือการให้ข้อมูลสินค้าทางการแพทย์ ภายใต้ความหลากหลายของรูปแบบโฆษณาเหล่านี้คณะ กรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน ก็น่าจะมีส่วนช่วยให้ประชาชนได้เท่าทันสื่อโฆษณาเหล่านี้มากขึ้น และช่วยให้เรื่องร้องเรียนต่างๆเกี่ยวกับสื่อจะมีการเชื่อมโยงและประสานงาน กับหน่วยงานต่างได้มากขึ้น


16 องค์กรสื่อและประชาสังคม เปิดตัวคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน


อนึ่งประชาชนสามารถร่วมเป็นหนึ่งในการจับตาและเฝ้าระวังสื่อโดยส่งข้อมูลมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โทรศัพท์ 022483737 โทรสาร 022483733 หรือ "เฟสบุ๊คซอกแซกสื่อ"  หรือส่งเรื่องมาที่ 

http://e-mouth.consumerthai.org


รายนามคณะกรรมการกลไกคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน


1. รศ.ดร.วิลาสีนี อดุลยานนท์            ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์สื่อสารสังคม (สสส.) 
2. ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์             ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา 
3. คุณอัญญาอร พานิชพึ่งรัถ             ประธานเครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ
4. คุณเชษฐา มั่นคง                      ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก 
5. คุณสุมณฑา ปลื้มสูงเนิน               เครือข่ายเยาวชนเพื่อการพัฒนา 
6. คุณณัฐยา บุญภักดี                    ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สสส. 
7. คุณเข็มพร วิรุณราพันธ์                ผู้จัดการแผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) 
8. รศ.ดร.ศักดา ธนิตกุล                  คณบดี คณะนิติศาสตร์ 

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 
9. คุณบุญยืน ศิริธรรม                    ประธานสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค 

ผู้แทนเครือข่ายผู้บริโภค 
10. คุณสุภิญญา กลางรณงค์             รองประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) 
11. คุณพรชัย ปุณณวัฒนาพร            เลขาธิการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ 
12. คุณโกศล สงเนียม                   สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย 
13. คุณธาม เชื้อสถาปนศิริ               นักวิชาการมีเดียมอนิเตอร์ 
14. คุณอิทธิพล ปรีติประสงค์             สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล 
15. คุณสุวรรณา จิตประภัสสร์            คณะกรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 
16. ผู้แทน                                สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
 




ที่มา: มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค


http://www.kaodee.com/read/kaodee.wc/?id=778e1d4b2e0985fb103cacad2f7d7a1a&ch=20&c=13

16 องค์กรสื่อและประชาสังคม เปิดตัวคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน

 
« on: March 30, 2011, 03:59:33 PM »

Permalink: 16 องค์กรสื่อและประชาสังคม เปิดตัวคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน


แก้ไขล่าสุด ใน วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2011 เวลา 10:17 น. เขียนโดย Administrator วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2011 เวลา 09:24 น. 

ผู้บริโภคผนึกกำลังนักวิชาการ เปิดตัวคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีความตื่นตัว รู้เท่าทันสื่อ และร่วมรณรงค์ให้มีการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการผลิตสื่อที่เกิดประโยชน์ต่อสังคม  

วันนี้ (29 มีนาคม 2554) ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค(อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) นางสุวรรณา จิตประภัสสร์ กรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้แถลงข่าวเปิดตัว การจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน เพื่อให้เป็นกระจกสะท้อนถึงสื่อและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความตระหนักในสิทธิของผู้บริโภคอย่างจริงจัง และเพื่อเป็นการป้องกันมิให้มีการนำเสนอข่าวสารที่เป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนในฐานะผู้บริโภคสื่อ

โดยนางสุวรรณา ได้เปิดเผยว่าคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน ประกอบด้วยตัวแทนจากหลายภาคส่วนของสังคม รวม 16 องค์กร ประกอบด้วย เครือข่ายประชาสังคมด้านเด็กและเยาวชน เครือข่ายด้านสตรี เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค นักวิชาการ และสภาวิชาชีพด้านสื่อ 4 องค์กร  

นางสุวรรณา กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องมีการจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชนขึ้น เนื่องจาก ปัจจุบันผู้บริโภคยังประสบปัญหา การละเมิดสิทธิที่ได้รับข้อมูลข่าวสารจากการโฆษณาสินค้าหรือบริการต่างๆที่ไม่เป็นจริง ไม่ครบถ้วนนำไปสู่การซื้อ-ใช้สินค้าหรือบริการที่ไม่เหมาะสม สิ้นเปลืองเงินทอง  เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการนำเสนอข่าวอาชญากรรม  ปัญหาการละเมิดสิทธิสตรี สิทธิเด็กและเยาวชน จากการนำเสนอเนื้อหาละครข่าวสารด้วยความรุนแรง หยาบคาย ลามก นอกจากนี้ ยังมีการโฆษณาแฝงในรูปแบบต่างๆ  โดยเฉพาะบทความเชิงโฆษณาที่ครอบงำความคิดประชาชน
ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้บริโภคสื่อเอง ยังขาดความรู้ ความเข้าใจในการทำงานของสื่อที่ถูกต้องเหมาะสมตามกรอบของจริยธรรม จรรยาบรรณ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  ขาดความตื่นตัวในการปกป้องสิทธิของตนเอง จึงทำให้ถูกละเมิดสิทธิจากสื่อทั้งโดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว

ดังนั้นจึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชนขึ้น ทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิ และที่กรรมการพิจารณาเห็นว่าเป็นผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ตรวจสอบติดตามการทำงานของสื่อ ร้องเตือนประชาชนเมื่อมีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ไม่เหมาะสม พร้อมกับสะท้อนความคิดหรือข้อร้องเรียนของประชาชนกลับไปยังสื่อและสภาวิชาชีพด้านสื่อ เพื่อให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแก้ไขการผลิตสื่อให้มีทิศทางที่เกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม

"กลไกการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน จะทำหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีความตื่นตัว รู้เท่าทันสื่อ  และร่วมรณรงค์ให้มีการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการผลิตสื่อที่เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง ทั้งนี้ กลไกการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชนในระดับพื้นที่นำร่อง ประกอบไปด้วยเครือข่ายผู้บริโภครวม 11  จังหวัดในพื้นที่ 5 ภาค คือ นอกจากกรุงเทพมหานครแล้ว ยังประกอบด้วย ภาคเหนือ ได้แก่ ลำปาง เชียงราย  , ภาคใต้  ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ตรัง  , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด , ภาคกลางและตะวันออก ได้แก่ สระบุรี ตราด และ ภาคตะวันตก ได้แก่ กาญจนบุรี ราชบุรี การดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อในรูปของพลังประชาชนเช่นนี้ นับเป็นทางออกที่สำคัญซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็น เหยื่อ หรือได้รับผลกระทบจากการนำเสนอเนื้อหาสาระของสื่อในด้านที่มีพิษภัยได้ง่ายเกินไป" นางสุวรรณา กล่าว 

นางสุมณฑา ปลื้มสูงเนิน เครือข่ายเยาวชนเพื่อการพัฒนนา กล่าวว่าเด็กถือเป็นผู้บริโภคสื่อที่ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะทีวี อินเทอร์เน็ต เคยสำรวจการดูโทรทัศน์ของเด็กในช่วงวัดหยุดในช่วงปิดเทอมและวันเสาร์อาทิตย์ พบว่าเด็กดูทีวีถึง 15 – 17 ชั่วโมง

"จะเห็นว่าเด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอโดยไม่ทำอะไรเลย ทั้งทานข้าว ทำการบ้านหน้าทีวี ซึ่งเราก็พบว่าสื่อที่ส่งออกมามีความรุนแรงต่อเรื่องเพศ ซึ่งเด็กได้รับโดยตรง ในเด็กเล็กเราพบกว่าอิทธิพลของโฆษณามีผลต่อการใช้จ่ายของเด็ก เพราะจะซื้อขนมจากการดูโฆษณานั่นเอง และที่ผ่านมาไม่มีช่องทางการสื่อสารให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น เมื่อมีคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชนก็น่าจะเป็นกลไกที่จะเป็นช่องทางให้มี
การสื่อสารกันมากขึ้น" นางสาวณัฐยา บุญภักดี ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สสส..กล่าวถึงการล่วงมะเมิดทางเพศที่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมแต่ต้องรตกเป็นข่าวนั้นยิ่งเป็นการซ้ำเติม ผู้หญิงจึงเลือกที่จะเก็บเรื่องไว้ ผู้กระทำความผิดจึงไม่ได้รับการลงโทษ สื่อน่าจะทำความเข้าใจในการเสนอข่าวด้วยเพราะจะกลายเป็นว่านอกจะถูกละเมิดไปครั้งหนึ่งแล้วกลับต้องถูกละเมิดซ้ำเมื่อมีการเสนอข่าว

"มันเป็นกระทบเหมือนน้ำซึ่งกระทบทั้งตัวเอง ญาติ ที่ทำงานอยากให้สื่อมวลชนได้รับรู้ผลกระทบตรงนี้ด้วย การมีคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน ก็น่าจะเป็นอีกเสียงที่ช่วยต่อสู้เรื่องนี้ ที่จะพูดคุยกับสื่อและสะท้อนต่อสาธารณะว่าเมื่อมีการนำเสนอข่าวโดยไม่ได้สนใจผลกระทบต่อบุคคลอย่างไร การที่เด็กหรือผู้หญิงถูกละเมิดแล้วออกมาเรียกร้องความยุติธรรมสื่ออาจะทำเพื่อเตือนสังคมว่าในสถานที่นั้นมีเหตุอาชญากรรมให้ระวัง ไม่ควรจะสนใจรายละเอียดของเหตุการณ์แล้วนำไปขยายความต่อ จะเป็นการขยายบาดแผลของผู้เสียหายมากกว่า" นางสาวณัฐยากล่าว

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ รองประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ กล่าวว่ากลไกการับเรื่องร้องเรียนผู้บริโภคด้านสื่อนั้นมีความสำคัญ เพราะที่ผ่านมายังไม่มีกลไกตัวนี้ ถึงแม้จะมีการพยายามทำมาแต่ก็ยังไม่แน่ชัด ซึ่งต้องทำหน้าที่เชื่อมระหว่างผู้บริโภคกับสื่อมวลชน ถึงมีจะมีองค์กรวิชาชีพทำอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ชัด

"มีแนวคิดว่าจะให้รัฐเข้ามาจัดการ เข้ามาลงดาบสื่อ ให้สื่อมีการปรับตัวแต่ถ้าไม่ระวังให้ดีก็อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ สิ่งที่น่าจะกำกับสื่อได้มากกว่าก็คือพลังพลเมืองกับพลังผู้บริโภค แม้จะมีการรวมตัวกันไม่มากแต่มีการกระตุ้นสื่ออย่างสม่ำเสมอ ปัจจุบันมีใหม่ๆ อย่างสื่ออินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย ก็น่าจะช่วยสร้างพลังให้เสียงเหล่านี้ และผลักดันให้สื่อมีการปรับตัวได้ และการมีคณะกรรมการจากหลากหลายหน่วยงานก็จะสร้างเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่หลากหลายและหาทางออกได้ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องการละเมิดทางเพศ การเมือง ในระยะยาวก็น่าจะเป็นเวทีให้ทุกฝ่ายได้มาหาจุดร่วม เพื่อหากติกาในการอยู่ร่วมกันได้" นายธาม เชื้อสถาปนศิริ ผู้จัดการกลุ่มงานวิชาการ มีเดียมอนิเตอร์กล่าวถึงผลการศึกษาผลต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อการถูกเสนอข่าวล่วงละเมิดทางเพศว่า ผู้ถูกเสนอข่าวได้รับผลกระทบมากในการดำรงชีวิตประจำวัน เหมือนเป็นการซ้ำเติมโศกนาฏกรรมชีวิตอย่างมาก ผู้อ่านหรือผู้ดูเองเมื่อถูกนำเสนอข่าวนี้ก็รู้สึกเหมือนถูกละเมิดไปด้วย 

"สะท้อนให้เห็นว่าผู้นำเสนอข่าวไม่ว่าจะสื่อโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ ยังมีทัศนะคติเดิมที่ต้องนำเสนอให้เห็นภาพ ให้เห็นเหยื่อ ให้เห็นฉากโศกนาฏกรรมที่ชัดเจน นี่คือลักษณะการทำงานวิชาชีพ ซึ่งการวิจัยชิ้นนี้สะท้อนว่าเป็นการทำงานที่ไม่เหมาะเพราะไม่ได้คำนึงถึงสิทธิของมนุษย์เลย"นายธามกล่าว 

นอกจากนี้ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงโฆษณาแฝงในทีวีว่ามีมากทั้งปริมาณและรูปแบบ และมีการโฆษณาในรายการเด็กมากขึ้น และในรายการข่าว ในหนังสือพิมพ์เองก็มีการโฆษณามากขึ้นเช่นการเขียนบทความขึ้นมา หรือการให้ข้อมูลสินค้าทางการแพทย์ ภายใต้ความหลากหลายของรูปแบบโฆษณาเหล่านี้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อภาคประชาชน ก็น่าจะมีส่วนช่วยให้ประชาชนได้เท่าทันสื่อโฆษณาเหล่านี้มากขึ้น และช่วยให้เรื่องร้องเรียนต่างๆเกี่ยวกับสื่อจะมีการเชื่อมโยงและประสานงานกับหน่วยงานต่างได้มากขึ้นอนึ่งประชาชนสามารถร่วมเป็นหนึ่งในการจับตาและเฝ้าระวังสื่อโดยส่งข้อมูลมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โทรศัพท์ 022483737 โทรสาร 022483733 หรือ "เฟสบุ๊คซอกแซกสื่อ"  หรือส่งเรื่องมาที่ http://e-mouth.consumerthai.org

สื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลง
เชษฐา มั่นคง (ท่อม)
มือถือ 085-326-2980 /02-433-6292
http://www.iamchild.org

http://mediamonitor.in.th/home/forum/b3/16-810/