ดร.นันทวัฒน์ ชำแหละ"คมดาบใหม่"ป.ป.ช. สิ่งที่น่ากลัวคือ การใช้อำนาจ !!!
วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 15:40:18 น.
เมื่อไม่นานมานี้ "มติชนออนไลน์" ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ของ ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ เรื่อง มาตรการที่น่าสนใจในกฎหมาย ป.ป.ช. ฉบับใหม่" ซึ่งได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง และคาดว่า อีกไม่นาน ร่างกฎหมาย ป.ป.ช. ฉบับแก้ไขใหม่ ที่กล่าวกันว่า เป็นการติดดาบ ให้กับเสือกระดาษ ครั้งสำคัญ จะประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ประเด็นที่สำคัญคือคนทั่วไป แทบไม่รู้สาระสำคัญของ คมดาบใหม่ ขณะที่ ป.ป.ช. เองก็แทบไม่ได้ ขยายความให้คนได้รับรู้อำนาจใหม่ของป.ป.ช.
ล่าสุด ดร.นันทวัฒน์ วิเคราะห์กฎหมายป.ป.ช. ฉบับใหม่ ตอน 2 ผ่านบทบรรณาธิการเว็ปไซต์กฎหมายมหาชน www.pub-law.net "มติชนออนไลน์" นำเนื้อหา มานำเสนอดังนี้
ครั้งนี้ ผมจะขอนำเอาสาระสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในร่างกฎหมาย ป.ป.ช. ฉบับใหม่มานำเสนอ โดยผมจะขอกล่าวถึงหมวด 9/1 การส่งเสริมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตซึ่งประกอบด้วยบทบัญญัติที่เพิ่มขึ้นมาใหม่รวม 8 มาตราด้วยกัน บทบัญญัติทั้ง 8 มาตรานี้นอกเหนือไปจากการ “เพิ่มอำนาจ” ให้กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. อย่างมากในหลาย ๆ กรณีแล้วยังเป็นบทบัญญัติที่ผมมองว่า น่าจะเป็นอีกความพยายามหนึ่งที่จะแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศไทยที่แก้กันไม่รู้กี่ปีแล้วก็ไม่หมดสิ้นไปเสียทีแถมดู ๆ แล้วน่าจะมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำไปครับ บทบัญญัติในหมวด 9/1 สามารถแบ่งได้เป็น 3 เรื่องใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ การคุ้มครองผู้ร่วมมือกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. และการตอบแทน ความพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการจัดซื้อจัดจ้างและความโปร่งใสในการทำงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ในเรื่องแรกคือเรื่อง การคุ้มครองผู้ร่วมมือกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. และการตอบแทนนั้น สามารถแยกออกได้เป็น 2 เรื่องคือ เรื่องการคุ้มครองกับเรื่องการตอบแทน ผมขอเริ่มที่เรื่องของการคุ้มครองก่อนโดยในร่างมาตรา 103/2 ที่เป็นมาตราแรกของหมวดที่ 9/1 ได้บัญญัติเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองผู้ร่วมมือกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยได้ให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไว้ในวรรคแรกที่จะต้องแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีมาตรการในการคุ้มครองความช่วยเหลือแก่ผู้กล่าวหา ผู้เสียหาย ผู้ทำคำร้อง ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้ให้ถ้อยคำหรือผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าที่ การร่ำรวยผิดปกติหรือข้อมูลอื่นใดที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการตามกฎหมาย ป.ป.ช. โดยให้ถือว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นพยานที่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพยานในคดีอาญา
บทบัญญัติในร่างมาตรา 103/2 วรรคสองนี้เองจึงเป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องและมีลักษณะคล้ายกับการคุ้มครองพยานในคดีอาญาแต่ขยายความให้กว้างออกไปอีกโดยให้ครอบคลุมถึงผู้กล่าวหา ผู้เสียหาย ผู้ทำคำร้อง ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้ให้ถ้อยคำหรือผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลของการทุจริตต่อหน้าที่ การร่ำรวยผิดปกติหรือข้อมูลอื่นใดที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการตามกฎหมาย ป.ป.ช. ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เปิดโอกาสให้ผู้ที่ “กลับตัวกลับใจ” “รอด” คุก
ร่างมาตรา 103/6 ก็เป็นอีกร่างมาตราหนึ่งที่เกี่ยวกับการคุ้มครอง โดยบัญญัติไว้ว่า บุคคลหรือผู้ถูกกล่าวหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหา หากได้ให้ถ้อยคำหรือแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญในการที่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในการวินิจฉัยชี้มูลการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐและคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นสมควรกันผู้นั้นไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดีก็สามารถทำได้
ในส่วนที่เกี่ยวกับการตอบแทนนั้นมีอยู่สองมาตราที่กล่าวถึงเรื่องดังกล่าว มาตราแรกคือร่างมาตรา 103/3 ได้ให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะจัดให้มีเงินสินบนแก่ผู้ชี้ช่อง ผู้แจ้งเบาะแสหรือผู้ให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกตรวจสอบ รวมทั้งตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. รวมทั้งจัดให้มีรางวัลตอบแทนหรือประโยชน์อื่นใดแก่บุคคลตามร่างมาตรา 103/2 วรรคแรกที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
ในเรื่องที่สองคือเรื่องของความพยายามที่จะแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดจากการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐนั้น เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นในวงราชการที่เป็นที่ทราบกันดีแต่ก็ไม่เคยแก้ปัญหาได้แม้ว่าจะมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหานี้กันมาโดยตลอดเพราะหากแก้ปัญหานี้ได้ เราจะมีเงินเหลือพัฒนาประเทศอีกมากเพราะการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐนั้นดำเนินการอยู่ทุกวันทั่วประเทศวันหนึ่งไม่รู้กี่ราย หากการจัดซื้อจัดจ้างทุกรายการเป็นไปอย่างโปร่งใส ถูกต้องและตรวจสอบได้ ไม่มีการสมยอมกัน ราชการก็จะได้ของดีที่สุดและราคาถูกที่สุดสมดังเจตนารมณ์ของการมีกฎหมายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
เรื่องสุดท้ายที่จะขอนำมาเล่าให้ฟังก็คือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความโปร่งใสในการทำงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่บัญญัติไว้ในมาตราสุดท้ายของหมวด 9/1 คือ ร่างมาตรา 103/9 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปิดเผยกระบวนการและขั้นตอนการไต่สวนข้อเท็จจริงของคดีที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจดูได้โดยจะต้องจัดให้มีข้อมูลเหล่านั้นไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงาน ป.ป.ช. มาตรการใหม่ ๆ ทั้งหมดที่อยู่ในหมวด 9/1 นี้สามารถแยกออกได้เป็นสามเรื่องสำคัญ ๆ ด้วยกัน เรื่องแรกเป็นเรื่องการคุ้มครองผู้ที่เข้ามาหา ป.ป.ช. รวมไปถึงการตอบแทนผู้ที่เข้ามาหา ป.ป.ช. ด้วย เรื่องต่อมาเป็นเรื่องการกันผู้ที่ให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช. ไว้เป็นพยาน และเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องความพยายามอีกครั้งหนึ่งที่จะแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ผู้เกี่ยวข้อง ปั่นป่วน ไม่มากก็น้อย !!!
แต่อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวคงไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีต่อการป้องกันและปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น การที่ร่างกฎหมายให้อำนาจกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้มาตรการเหล่านั้น รวมไปถึงการให้อำนาจกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. อย่างมากในหลาย ๆ กรณี ก็เป็นสิ่งทีผู้ใช้อำนาจต้องให้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากด้วยเช่นกันเพราะหากการใช้อำนาจเหล่านั้นไม่ชัดเจน สิทธิเสรีภาพของประชาชนก็จะต้องได้รับผลกระทบอย่างมากด้วยเช่นกัน |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น