นิโคลัส ฟาร์เรลลี่  นักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ได้เขียนบทความชื่อ  "จากลูกเสือชาวบ้านถึงลูกเสือบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต" (ฟรอม  วิลเลจ สเก๊าท์ส ทู ไซเบอร์ สเก๊าท์ส) ลงในเว็บล็อก "นิวแมนดาลา"  (นวมณฑล) ซึ่งมีเนื้อหาโดยสังเขปดังต่อไปนี้
 
ในช่วงเวลาก่อนการมาถึงของ "ยุคดิจิตอล"  นโยบายทางด้านความมั่นคงแห่งชาติของไทย มักจะมีหน่วยปฏิบัติงานเป็นทหารในกองทัพ,  กองกำลังพลเรือน, เจ้าหน้าที่ตำรวจ และองค์การภาคพลเมือง
 
หนึ่งในองค์กรเหล่านั้นซึ่งนำไปสู่กรณีถกเถียงกันเป็นอย่างมาก  โดยเฉพาะในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ก็คือ "ลูกเสือชาวบ้าน" แม้  ว่าวันเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ขององค์กรดังกล่าวจะเป็นเพียงความทรงจำอัน รางเลือน  ทว่าลูกเสือชาวบ้านก็ใช่จะปลาสนาการไปจากสังคมไทยเลยเสียทีเดียว 
 
ปัจจุบันนี้  พวกเขาถือเป็นหน่วยงานอย่างเป็นทางการหน่วยหนึ่งที่ขึ้นตรงกับกองบัญชาการ  ตำรวจตระเวนชายแดน และศูนย์ปฏิบัติการลูกเสือชาวบ้านฯ  ก็ยังมีภารกิจในการระดมผู้คนและโฆษณาชวนเชื่อมาอย่างต่อเนื่อง
 
การที่ลูกเสือชาวบ้านยังคงมีความสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันโดยดำรง  อยู่ภายในหน่วยงานราชการด้านความมั่นคง  จึงส่งผลให้พวกเขาสามารถจะเคลื่อนพลออกมาได้อีกครั้งหนึ่ง
 
ล่าสุดนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  เพิ่งเดินทางไปเป็นประธานพิธีเปิดโครงการสร้าง "ลูกเสือบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต" (Cyber Scout)  เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามของรัฐบาลที่จะ "ควบคุมตรวจตรา" สื่อออนไลน์
 
รายงานข่าวระบุว่า ลูกเสือบนเครือข่าย  อินเตอร์เน็ตจำนวน 200 คน จะประกอบไปด้วย นักเรียนนักศึกษา, ครูอาจารย์, ข้าราชการ  และผู้ปฏิบัติงานภาคเอกชน  ซึ่งมีความรู้ความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต
 
หน้าที่ของลูกเสือออนไลน์เหล่านี้  ย่อมต้องเป็นการ "เฝ้าสังเกตตรวจตรา"  บรรดาเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ตลอดจนสถาบันสำคัญ ๆ  ของสังคม
 
อย่างไรก็ตาม  ฟาร์เรลลี่กลับมองว่านโยบายดังกล่าวเป็นเพียงกลยุทธเพื่อให้มีข่าวคราวของ  รัฐบาลปรากฏอยู่ในพื้นที่สื่อ ซึ่งถูกจัดขึ้นพอเป็นพิธีเท่านั้น
 
เนื่องจากที่ผ่านมาความพยายามในการควบคุมตรวจตราอินเตอร์เน็ตของรัฐบาลมีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวผสมผสานกันไปเมื่อ เว็บไซต์ใดถูกบล็อก คนทำก็ไปสร้างเว็บใหม่ในพื้นที่แห่งใหม่  ขณะเดียวกัน  บรรดากลุ่มผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่ติดตามเว็บไซต์เหล่านี้ก็ยังเริ่มตระหนัก  รู้ถึงวิธีการในการตอบโต้นโยบายการควบคุมสื่อออนไลน์
 
เนื้อหาในเว็บไซต์ที่ถูกบล็อกกลับได้  รับการทำสำเนา นำไปเผยแพร่ซ้ำ  ตลอดจนกลายเป็นที่ดึงดูดใจของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมากขึ้น ด้วยสถานะ "ผิดกฎหมาย"  ของมัน
 
นอกจากนี้ วิธีการบล็อก "เว็บเพจ" เพียงหน้าใดหน้าหนึ่งของ  "เว็บไซต์" บางแห่งก็ถูกดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่รัฐ  และถูกเยาะเย้ยไปพร้อม ๆ กัน เพราะ  ยิ่งเนื้อหาในเว็บเพจดังกล่าวถูกแบน  มันก็จะกลายเป็นประเด็นยอดนิยมที่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากยิ่งขึ้น  ทั้งยังเป็นการกระตุ้นคนที่เพิกเฉยไม่ใส่ใจเรื่องราวรอบตัว  ให้หันมาสนใจเรื่องราวที่กำลังถูก "แบน" อีกด้วย
 
แม้การดำเนินนโยบายเช่นนี้ของรัฐบาลจะทำให้คนบางกลุ่มมีความเชื่อมั่นว่า  รัฐ  ไทยจะสามารถควบคุมระลอกคลื่นจำนวนมหาศาลอันทรงพลานุภาพแห่งการวิพากษ์,  การเสียดสีเหน็บแนม และการเผชิญหน้ากับคำวิจารณ์ต่าง ๆ  ซึ่งซ่อนแฝงอยู่นอกเหนือไปจาก "เส้นขอบฟ้า"  (ขอบเขตความรู้หรือประสบการณ์ในการทำความเข้าใจโลก)  ของสังคมไทยเอาไว้ได้
 
แต่นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียกลับไม่เชื่อว่านโยบายดังกล่าวจะบรรลุผลสำเร็จมิหนำซ้ำ  มันยังอาจเป็นตัวการกร่อนเซาะทำลายความน่าเชื่อถือของหลาย ๆ  สถาบันสำคัญในสังคมไทยเสียเอง
 
ฟาร์เรลลี่ปิดท้ายบทความชิ้นนี้ว่า เป็นที่แน่ชัดว่าการไหลเวียนแพร่หลายของ  "เนื้อหาต้องห้ามผิดกฎหมาย" ทางสื่ออินเตอร์เน็ตยังจะดำเนินต่อไป  และอาจมีอัตราในการส่งต่อที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่น่าสงสัยเหลือเกินว่า  ถึงที่สุดแล้วรัฐบาลไทยชุดนี้จะต้องการ  "ลูกเสืออินเตอร์เน็ต"  จำนวนมากมายมหาศาลสักเพียงไหนมารับมือกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น?
  
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น