ร่วมลงนาม ยกเลิกกฎหมาย 3 ฉบับ มั่นคงภายใน - กฎอัยการศึก - พ.ร.ก.ฉุกเฉิน"

ร่วมลงนาม ยกเลิกกฎหมาย 3 ฉบับ มั่นคงภายใน - กฎอัยการศึก - พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ร่วมลงนาม ยกเลิกกฎหมาย 3 ฉบับ มั่นคงภายใน - กฎอัยการศึก - พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ร่วมลงนาม ยกเลิกกฎหมาย 3 ฉบับ มั่นคงภายใน - กฎอัยการศึก - พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

การปฎิรูปการศึกษาไทย จากคุณเวคิน


จาก: lee lee <thai9lee@gmail.com>
วันที่: 28 มกราคม 2554, 15:33
หัวเรื่อง:  การปฎิรูปการศึกษาไทย จากคุณเวคิน
ถึง: 


เรียนสื่อมวลชนทุกท่าน
บทความของคุณเวคินคะ
เห็นว่าพอจะมีประโยชน์สำหรับท่านที่สนใจด่านการศึกาษจึงใคร่ขอส่งมาเพื่อให้เผยแพร่ หรือตามแต่จะเห็นเหมาะสมคะ
กมลพรรณ 08 6367 1004
 



 
From:
Date: 2011/1/18
Subject: การปฎิรูปการศึกษาไทย
To: khonthaika1@gmail.com


สวัสดีครับคุณหมอกมลพรรณ

 

ผมเวคิน อริยะสุนทร เคยได้พบและคุยกับคุณหมอหลายครั้งแล้วครับ

พอดีเมื่อวานผมได้รับอีเมล์เกี่ยวกับการคัดค้านแอดมิดชั่นกลางครับ

 

ผมมีข้อเสนอแนะ และขอให้ความรู้จากประสพการณ์ของผมโดยตรงครับ

ผมต้องแนะนำตัวเองก่อนว่าผมได้จบการศึกษามาจากที่ไหนบ้างครับ

 

ประถมศึกษา - โรงเรียนคริสในประเทศไทย เรียนถึงป.4

ประถมศึกษาปีที่ 4 - มัถยมปลาย - โรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย แห่ง และมีช่วงนึงได้ไปศึกษาที่อเมริกาเป้นเวลา ปี

ปริญญาตรี วิศวะ- มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ

ปริญญาโท วิทยาศาสตร์ - มหาวิทยาลัยอันดับของประเทศสวีเดน ด้านอวกาศวิทยาศาสตร์

ปริญญาโท การจัดการ - มหาวิทยาลัยมหิดล หลักสูตรนานาชาติ

 

ต้องขออภัยที่ต้องรบกวนคุณหมอให้ช่วยอ่าน เพื่อจะได้ปฎิรูปการศึกษาไทยของเราได้

อาจจะยาวไปนิด แต่เป็นข้อคิดที่กระทรวงการศึกษาของไทยควรจะต้องปรับปรุง

 

ผมได้มีโอกาศศึกษาในระบบการศึกษาของประเทศไทย ได้มีการสอบเอนทรานซ์ในสมัยนั้น

ผมได้มีโอกาศศึกษาในระบบการศึกษาของประเทศ อเมริกา

และยังได้มีมีโอกาศศึกษาในระบบการศึกษาของประเทศยุโรป

 

ผมมีเพื่อนต่างชาติมากในขณะที่เรียนอยู่ และผมคิดว่าระบบการศึกษาของอเมริกาหรือจะยุโรปก้ดี จะแตกต่างจากของไทยอบ่างสิ้นเชิง

ซึ่งข้อแตกต่างนี้ ทำให้นักเรียน ครู และผู้สำเร็จการศึกษามานั้น มีคุณภาพและมีศักยภาพที่แท้จริง

 

ข้อแตกต่างที่ว่านั้นมันต้องเริ่มจากช่วงมัธยม การศึกษาในไทยนั้น จะบังคับให้เรียนแบ่งเป็น สาย สายวิทย์และสายศิลป์

ซึ่งถ้าถามกันตรงๆ เด็กม..ม.3 จะสามารถกำหนดได้อย่างไรว่าตัวเองต้องการเป็นอะไรในชีวิต ต้องการศึกษาอะไรในชีวิต

เด็กบางคนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะเรียนอะไร อยากทำงานอะไร แต่โดนบังคับให้เรียนสายวิทย์และสายศิลป์

ซึ่งคนเก่งก้อจะได้อยุ่สายวิทย์ คนไม่เก่งก้อยุ่สายศิลป์ มีเพียงไม่กี่คนที่เรียนเก่งและสามารถเลือกเองได้ แต่แล้วอย่างไร ถ้าเลือกไปแล้วไม่ชอบ

การเปลี่ยนสายการเรียนในกาศึกษาเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน บางโรงเรียนไม่ยอมให้เปลี่ยน 

เด็กก้อจะไม่ได้เรียนในสิ่งที่ชอบ

 

การศึกษาในอเมริกาและในยุโรปบางประเทศ

แบ่งให้มีการศึกษาเป้น ช่วง Elementary , Middle , and Highschool

ที่สำคัญที่สุดคือ มัธยมปลาย ซึ่งเรียน ปี

แต่ในการเรียน ปีนี้ ไม่มีการแบ่งว่าเป็นสายศิลป์หรือสายวิทย์

จะมีวิชาหลักให้นักเรียนต้องลงเรียน  และมีจำนวนเครดิตที่ต้องเก็บให้ครบถึงจะเรียนจบได้ เหมือนในมหาวิทยาลัย

วิชาหลักที่ต้องเรียนมีดังนี้ ขอเขียนเป็นภาษาอังกฤษ

Algebra, Geometry, Trigonometry, English1-4, Religions 1-4 or Moral and Ethics1-4, Biology, Chemistry, Secondary Language 1-2, Physical Education 1-4, World History, American History (their native history), Computer

 

นอกนั้นเป็นวิชาเลือก เช่นถ้าอยากลองเรียนบัญชี ก้ลงวิชาบัญชี 

ถ้าชอบเลขก้เรียนเลขเพิ่ม Calculus, Advance Calculus

ถ้าชอบภาษาก้เรียนภาษาเพิ่มเช่น ปกติต้องเลือกภาษาที่นอกจากอังกฤษอยู่แล้ว ก้เลือก Japanese 1-2, แล้วต่อด้วย 3-4 หรือเรียนแล้วไม่ชอบก็เปลี่ยน เป็นฝรั่งเศส จีน ลาติน อื่นๆ

ถ้าชอบเคมีก็เรียน Advanced Chemistry, Advanced Biology ชอบเรียนผ่าตัดก็เรียนวิชาที่เกี่ยวกับการผ่าตัดเพิ่ม

สรุปว่า นักเรียนสามารถเลือกชีวิตการเรียนรู้เองได้ อยากเรียนอะไรก็เลือกได้ ไม่ต้องมาแข่งขันกันตั้งแต่ม.3ว่าจะเข้าสายไหน

นักเรียนสามารถรุ้ได้ว่า ตัวเองอยากเรียนอะไร อยากจะเรียนด้านไหน ชอบอะไร ถนัดอะไร

แถมยังไม่ต้องมีการเรียนพิเศษกวดวิชาอะไรทั้งสิ้น ผมเป็นคนนึงที่เคยสมัครเรียนเพราะตามเพื่อน แต่ไปเรียนครั้งเดียวเลิก

ไม่ได้ความรู้เพิ่มเลย มีแต่การท่องจำ หาสูตรลัด ซึ่งไร้สาระมากต่อการเรียนรู้

 

แล้วกระทรวงการศึกษาจะมีการสอบวัดระดับความรู้นักเรียนในโรงเรียนทุกปี

ซึ่งเป็นข้อสอบส่วนกลางจากรัฐบาล นักเรียนทุกคนต้องสอบ สอบทุกวิชา

1. เพื่อวัดมาตรฐานการสอนในโรงเรียน

2. เพื่อให้นักเรียนรู้ตัวเองว่า ความรู้ความสามารถในแต่ละด้านของตัวเองนั้นอยู่ในระดับไหน

ซึ่งการสอบตัวนี้ไม่มีผลต่อการคะแนนการเรียนหรือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยใดๆ ทั้งสิ้น

 

การสอบเข้ามหาวิทยาลัย

ตามที่กล่าวมาข้างต้นให้ทราบแล้วนั้น นักเรียนจะสามารทรู้และเลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบได้

แต่สำหรับในเมืองไทยแล้ว ต่อให้เรียนมหาลัยเอกชลที่เลือกคณะได้ ตัวเองก้ยังไม่รุ้ว่าจะเรียนอะไรเลย

 

การสอบที่อเมริกามีข้อสอบกลางเรียกว่า SAT สมัยที่ผมเรียนเป็นข้อสอบกระดาษ แบ่งเป็น ส่วน อังกฤษและเลข

คะแนนเต็มส่วนละ800 รวมเป็น 1600 ซึ่งจริง ๆแล้วเป็นเลขพื้นฐาน และเป้นอังกฤษพื้นฐานที่จะเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย

มีฟังอ่านเขียน

การสอบมีทุกเดือน สามารถสอบกี่ครั้งก้ได้ สามารถลองสอบได้ตั้งแต่เกรด10 หรือ ม.4.

จะสอบทุกเดือนจนเรียนจบก้ได้ เค้าไม่ส่งข้อมูลนี้ไปให้มหาวิทยาลัย นอกจากเราจะบอกให้ทางSAT ส่งคะแนนไป

คะแนนจะเก็บไว้ ปี

แล้วทุกมหาวิทยาลัยเปิดรับโดยตรง ไม่มีสอบตรง แค่รับสมัครตรง

การสมัครเพียงแต่ใช้คะแนน SAT, GPA, และใบแนะนำจากครูที่สอนมาอย่างน้อย ท่าน

ถ้าหากคิดว่าภาควิชาของมหาวิทยาลัยนั้นๆมีการแข่งขันสูง เราสามารถเลือกสอบข้อสอบพิเศษตามแต่รายวิชาได้ เรียกว่า SAT2

เช่นต้องการเรียนวิศวะที่ California University of Technology นักเรียนก้ข้อสอบวิชาที่คิดว่ามหาลัยนะจะพิจารานาเรามากขึ้น เช่นสอบวิชา Calculus, Physics, หรือวิชาอื่นๆ ที่ทำให้รู้ว่าเรามีความสามารถจริง

 

การไม่มีแอดมิชชั่นกลางนั้นดีมาก แต่มหาวิทยาลัยต้องเปิดเสรีแบบต่างประเทศ

การศึกษาต้องบูรณการเริ่มจากรากฐานไม่ใช่แค่อุดมศึกษา เพราะมันคือปลายเหตุแล้ว

แก้ปลายเหตุอย่างเดียว อีกไม่นานเกินรอ ประเทศไทยจะมีแต่คนจบปริญญาโทแต่ไม่มีความรู้ความสามารถในการแข่งขัน

เพราะว่าท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง

 

คุณหมอลองอ่านแล้วพิจารณาด้วยนะครับ ผมว่าถ้าเราผลักดันระบบนี้ได้ การศึกษาไทยจะก้าวหน้าวกว่านี้เยอะ

หนังสือที่ต่างประเทศเค้าใช้เรียนที่เรียนว่า TEXT BOOK พิมด้วยกระดาษอาร์ตมันปกแข็ง

เค้าเรียนกันได้เป็น 5-10 ปีกว่าจะเปลี่ยนหรือแก้ไข แล้วก้มีหลายสำนักให้แต่ละโรงเรียนเลือกซื้อ

แต่เนื้อหาจะใกล้เคียงกัน แตกต่างกันที่ราคาและ สีสันหน้าปก

ตั้งแต่ชั้นป.1-ม.6 ต่างประเทศใช้ Text book ที่ใช้ต่อจากรุ่นพี่ ไม่ต้องเสียตังค่าหนังสือ แถมใช้ได้นานหลายรุ่น 

โรงเรียนไทยก้มีเหมือนกัน หนังสือสู่รุ่นน้อง แต่พิมด้วยกระดาษเปื่อยๆ สีน้ำตาล

ใช้ได้ปีเดียวแล้วก้ต้องทิ้ง สั่งซื้อใหม่

 

ต้องขอโทษด้วยครับที่การใช้ภาษาไทยของผมอาจจะไม่สุภาพหรือไม่ถูกต้อง

ผมเรียนจบภาษาไทยแค่ป.เองครับ

 

ขอบคุณมากครับ

 

ด้วยความนับถือ

 

 เวคิน อริยะสุนทร






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น